Last updated: 18 มิ.ย. 2568 | 662 จำนวนผู้เข้าชม |
ในโลกของการออกแบบที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น “ไม้จริง” กลายเป็นวัสดุที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ด้วยคุณสมบัติทางธรรมชาติ ความสวยงาม และการใช้งานที่ยืดหยุ่น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ “ไม้จริง” ถูกจัดว่าเป็นวัสดุที่ Carbon Negative หรือหมายถึงวัสดุที่ช่วยลดคาร์บอนในชั้นบรรยากาศได้มากกว่าที่ปล่อยออกมาระหว่างกระบวนการผลิต คำถามคือจริงหรือ? คำตอบคือ.....จริง ในหลายหัวข้อ
อันดับแรกมารู้จัก Carbon Negative กันก่อน
Carbon Negative (คาร์บอนเนกาทีฟ) หมายถึง สถานะที่กิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากบรรยากาศได้มากกว่าที่ปล่อยออกมา ซึ่งต่างจาก:
- Carbon Neutral (คาร์บอนเป็นศูนย์) คือ ปล่อยคาร์บอนเท่ากับที่ดูดกลับหรือชดเชย
- Carbon Positive (ปล่อยคาร์บอนสุทธิ) คือ ปล่อยคาร์บอนมากกว่าที่ดูดกลับ
สรุป Carbon Negative คือ ดูดซับ CO₂ มากกว่าที่ปล่อย เป็นเป้าหมายของหลายอุตสาหกรรมที่อยากช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
ทำไมไม้จริงถึงมีศักยภาพเป็น Carbon Negative?
1. ไม้ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างการเติบโต
ต้นไม้มีคุณสมบัติในการดูดซับ CO₂ จากบรรยากาศ และเก็บไว้ในรูปของคาร์บอนในเนื้อไม้ โดยเฉลี่ยแล้ว ไม้ 1 ลูกบาศก์เมตรสามารถกักเก็บคาร์บอนได้ถึง 1 ตันตลอดอายุการใช้งาน
2. คาร์บอนยังคงอยู่เมื่อแปรรูปเป็นวัสดุก่อสร้าง
เมื่อนำไม้มาใช้เป็นพื้น ผนัง หรือฝ้าเพดาน คาร์บอนที่สะสมในไม้จะยังคงอยู่ในโครงสร้างนั้น ไม่ปล่อยกลับสู่บรรยากาศ ตราบใดที่ไม้ยังไม่ถูกเผาหรือย่อยสลาย
แล้วทำไมคาร์บอนจึงยังอยู่ในไม้ แม้จะแปรรูปแล้ว?
2.1) ขณะที่ต้นไม้มีชีวิต มันจะดูดซับ ก๊าซ CO₂ จากอากาศ ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง แล้วเปลี่ยนคาร์บอนใน CO₂ ไปเก็บไว้ในรูปของ เซลลูโลส, ลิกนิน และเนื้อไม้ นั่นหมายความว่า “เนื้อไม้ = ที่เก็บคาร์บอนในรูปของแข็ง”
2.2) เมื่อเราตัดไม้ แล้วแปรรูปเป็นวัสดุ เช่น พื้น ฝ้า หรือเฟอร์นิเจอร์
คาร์บอนที่อยู่ในเนื้อไม้จะยังไม่ถูกปล่อยออกมา ไม่เหมือนการเผาไม้ ที่คาร์บอนจะปล่อยกลับสู่ชั้นบรรยากาศ ถ้าไม้ถูกใช้ในอาคารไม้ โครงสร้างไม้ หรือผลิตภัณฑ์ไม้ ก็เท่ากับว่าเรา กักเก็บคาร์บอนไว้ได้นานหลายสิบปี หรือแม้แต่เป็นร้อยปี
2.3) คาร์บอนจะหลุดออกเมื่อใด?
หากไม้ถูก เผา คาร์บอนจะกลายเป็น CO₂ และกลับสู่อากาศ
หากไม้ เน่าเปื่อยตามธรรมชาติ (ในป่า, กองขยะ) คาร์บอนจะปล่อยออกในรูปของ CO₂ หรือมีเทน
2.4) เหตุผลที่ “ไม้จริง” = Carbon Storage Material เมื่อเรานำไม้มาใช้ในงานก่อสร้างหรืองานตกแต่งภายใน มันคือการ ล็อกคาร์บอนไว้ในไม้ และทำให้ไม่กระทบต่อภาวะโลกร้อน
3. ใช้พลังงานต่ำในการแปรรูป
กระบวนการแปรรูปไม้ใช้พลังงานน้อยกว่าวัสดุก่อสร้างชนิดอื่น เช่น เหล็ก ปูน หรืออิฐ ซึ่งต้องผ่านกระบวนการเผาและหลอมละลายที่ใช้พลังงานสูงและปล่อย CO₂ ในปริมาณมาก
แล้วทำไมไม้ถึงใช้พลังงานต่ำในการแปรรูป?
3.1) โครงสร้างของไม้ = พร้อมใช้งานตามธรรมชาติ
ไม้มีโครงสร้างที่แข็งแรงจากธรรมชาติอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใช้กระบวนการหลอม, ตีขึ้นรูป หรือเผาในอุณหภูมิสูง เหมือนวัสดุอย่างเหล็กหรือซีเมนต์
3.2) กระบวนการแปรรูปเรียบง่าย เป็นการแปรรูปไม้ทั่วไป เช่น ตัด เลื่อย อบแห้ง ขัดผิว ก็ใช้เพียงพลังงานกล และพลังงานความร้อนระดับต่ำ
3.3) นำพลังงานกลับคืนได้ (ในบางกรณี) เศษไม้หรือขี้เลื่อย ยังสามารถนำไปผลิตเป็นพลังงานชีวมวล (biomass) ได้อีก ช่วยลดของเสียและหมุนเวียนพลังงานในระบบ
สรุป ไม้ = วัสดุที่ใช้พลังงานต่ำในการผลิตและแปรรูป จึงช่วยลด “คาร์บอนฟุตพริ้นต์” ได้อย่างชัดเจน
4) ไม้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse & Recycle)
ไม้ที่ผ่านการใช้งานแล้วยังสามารถนำไปรีไซเคิลหรือใช้ใหม่ได้ เช่น แปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ งานตกแต่ง หรือแม้แต่นำไปใช้เป็นพลังงานชีวมวล
แต่ไม้ Carbon Negative จริงไหม? ขึ้นอยู่กับว่า...
สรุป: ไม้จริง = Carbon Friendly
แม้ไม้บางชนิดไม่ถึงขั้น Carbon Negative ก็ยังถือว่าเป็นวัสดุ Low Carbon Footprint และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุก่อสร้างทั่วไป
การเลือกใช้ไม้จริงในงานออกแบบและก่อสร้าง จึงไม่ใช่แค่เรื่องของสไตล์...แต่เป็นการช่วยโลกให้ยังคงสดใสต่อไป